วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กลอนแปด

กลอนสุภาพ
                 แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม               ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว
          แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว                         จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา
                แม้มิได้เป็นหงส์ทะนงศักดิ์                   ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษ
         แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคา                                จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น
                แม้มิได้เป็นมหาหิมาลัย                        จงพอใจเป็นจอมปลวกที่แลเห็น
         แม้มิได้เป็นจันทร์วันเพ็ญ                            ก็จงเป็นวันแรมที่แจ่มจ่าง
                 แม้มิได้เป็นต้นสนระหง                      จงเป็นพงอ้อสะบัดไม่ขัดขวาง
         แม้มิได้เป็นนุชสุดสะอาง                             จงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดี
                อันจะเป็นสิ่งใดไม่ประหลาด                กำเนิดชาติดีทรามตามวิถี
         ถือสันโดษบำเพ็ญให้เด่นดี                           ในสิ่งที่เราเป็นเช่นนั้นเทอญ


                                    ฐะปะนีย์  นาครทรรพ : ที่ระลึกครบรอบ ๖๐ ปี  
๑.   บทและบาท
กลอน ๑ บท มี ๒ บรรทัด แต่ละบรรทัดเรียกกว่า บาท หรือ คำกลอน บาทที่  ๑ ของกลอน เรียกว่า บาทเอก ส่วนบาทที่สอง เรียกว่า บาทโท กลอนบาทหนึ่งมี ๒ วรรค กลอนบทหนึ่งจึงมี ๔ วรรค เช่น
แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม             ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว        (บาทเอก)
แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว                จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา    (บาทโท)
๒. จำนวนวรรค
กลอน ๑ บท มี ๔ วรรค แต่ละวรรคมีชื่อเรียก  ดังนี้
วรรคที่ ๑ เรียกว่า วรรคสดับ             วรรคที่ ๒ เรียกว่า  วรรครอง
วรรคที่ ๓ เรียกว่า  วรรครอง             วรรคที่ ๔ เรียกว่า  วรรคส่ง
เช่น            
แม้มิได้เป็นหงส์ทะนงศักดิ์ (วรรสดับ)      ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษา (วรรครับ)
แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคา       (วรรครอง)   จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น (วรรคส่ง)  
     
๓.  สัมผัส
คำว่า สัมผัสในคำประพันธ์ หมายถึง ๒ คำ หรือ ๒  พยางค์ ที่มีเสียงสระเดียวกัน
 ตา – หรรษา  หิมาลัย – พอใจ  วิถี – เด่นดี ที่  สัมผัสแบบนี้เรียกว่า สัมผัสสระ
          ในคำประพันธ์มีสัมผัสอีกแบบหนึ่ง เรียกว่า สัมผัสพยัญชนะ หมายถึง  คำ ๒ คำ หรือหลายคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงเดียวกัน เป็นลักษณะที่กวีใช้เพิ่มเพื่อความไพเราะให้แก่บทกลอน ไม่ใช่สัมผัสบังคับ สัมผัสพยัญชนะอาจปรากฏในวรรณคดีเดียวกันหรือต่างวรรคกันก็ได้ เช่น  ลางลิงลิงลอดเลี้ยวลางลิงแลลูกลิงลงชิงลูกไม้
          
สัมผัสในกลอนมีทั้งสัมผัสบังคับและไม่บังคับ

สัมผัสบังคับ มี ๒ ประเภท คือ สัมผัสนอก และ สัมผัสระหว่างบท
            สัมผัสนอก คือ สัมผัสสระของคำที่อยู่ต่างวรรคกัน กลอยบทหนึ่งมีสัมผัสอยู่ ๓ แห่ง คือ
แห่งที่ ๑ คำสุดท้ายของวรรคสดับ (วรรคที่ ๑) สัมผัสของคำท้ายของช่วงที่ ๑ หรือ ๒ ในวรรครับ (วรรคที่ ๒)
แห่งที่ ๒ คำสุดท้ายของวรรครับ (วรรคที่ ๒) สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรครอง (วรรคที่ ๓)  แล้วส่งต่อไปสัมผัสแห่งที่ ๓
แห่งที่ ๓ รับสัมผัสมาจากคำสุดท้ายของวรรครอง (วรรคที่ ๓) ไปยังคำสุดท้ายของช่วงที่ ๑ หรือ ช่วงที่ ๒ ในวรรคส่ง (วรรคที่ ๔)


ผังกลอนสุภาพ

สัมผัสระหว่างบท คือสัมผัสสระที่ส่งต่อจากคำสุดท้ายของบทไปยังคำสุดท้ายในวรรครับ (วรรคที่ ๒) ของบทถัดไป ซึ่งเป็นสัมผัสที่ทำให้กลอนเชื่อมต่อกันโดยตลอด ไม่ว่าจะแต่งกลอนกี่บท

สัมผัสไม่บังคับ คือ สัมผัสสระหรือสัมผัสพยัญชนะที่อยู่ในวรรค เพื่อเพิ่มความไพเราะให้แก่บทกลอน สัมผัสที่อยู่ในวรรคมักเรียกว่า สัมผัสในกลอนแต่ละวรรค ถ้าคำที่เชื่อมระหว่างช่วงเป็นคำที่สัมผัสกัน จะทำให้กลอนไพเราะเช่นกัน  


 บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. วิวิธภาษา  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ . พิมพ์ครั้งที่ ๒ .  
                 กรุงเทพฯ : สกสค, ๒๕๕๔.  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น